ซึ่งจะเห็นว่าหากรูรั่วมีขนาดใหญ่ขึ้นมากกว่านี้ จะยิ่งทำให้ค่า STC ลด ต่ำลงอย่างมาก จนแทบที่จะไม่สามารถป้องกันเสียงทะลุผ่านได้เลย
ผลลัพธ์ที่ได้คือ ค่า STC ลงไปจาก 45 เหลือ เพียง 20 เท่านั้น
เมื่อทำการกำหนดให้ผนังมีช่องกว่า ความสูงเพียงแค่ 5 มิลลิเมตร
สมมุติว่าผนังก่ออิฐหนา 10 เซนติเมตร มีค่า TL ดังแสดงในกราฟ มีค่า STC เท่ากับ 45
อาจจะดูงง บ้างครับ แต่ไม่ต้องไปสนใจมากครับกับวิธีการหาค่า STC แต่ที่น่าสนใจคือ ค่า STC จะบอกประสิทธิภาพในการป้องกันเสียงได้แบบเป็นรูปธรรมดังแสดงในภาพครับ
เส้นประสีน้ำเงินคือ เส้น STC Contour
เวลาที่ค่าประสิทธิภาพในการป้องกันเสียง หรือค่า TL ถูกทดสอบ ห้องปฏิบัติการจะออกค่าผลทดสอบ แยกตามช่วงความถี่แบบ Octave มาให้ ซึ่งค่อนข้างยุ่งยากในการสื่อสารโดยเฉพาะกับวงการสถาปนิก เพราะการพูดค่าTL จะต้องระบุย่านความถี่ที่ต้องการจะสื่อสารด้วย
ดังนั้น จึงมีการกำหนดค่าดัชนีที่เป็นตัวเลขตัวเดียวออกมาเพื่อเป็นตัวแทนในการสื่อสารประสิทธิภาพของการป้องกันเสียงทะลุผ่านของระบบผนังแบบภาพรวม ค่านี้เรียกว่า ค่า STC หรือ Sound Transmission Class
การหาค่า Sound Transmission Class ไม่ใช่การหาค่าเฉลี่ยของ TL ทุกๆ ความถี่นะครับ แต่มีวิธีการหา โดยการใช้เส้น STC Contour ซึ่งกราฟมาตรฐาน และทำการขยับกราฟมาตรฐานขึ้นลงในแนวดิ่งเปรียบเทียบกับค่า TL ที่ได้จากการวัด โดยการขยับจะถูกทำซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนเข้าเงื่อนไขดังต่อไปนี้
-เมื่อรวมค่าผลต่างระหว่างค่าบน STC contour กับค่า TL ที่ได้จากการวัด จะต้องมีค่าไม่เกิน 32 dB
-ค่าผลต่างสูงสุดของแต่ละจุด จะต้องไม่เกิน 8 dB
ถ้ากำหนดให้
ค่าสัมประสิทธิ์การสะท้อน (ρ) = พลังงานของเสียงที่สะท้อน/พลังงานของเสียงที่ตกกระทบ
ค่าสัมประสิทธการดูดซับ (ρ) = พลังงานของเสียงที่ถูกดูดซับ/พลังงานของเสียงที่ตกกระทบ
ค่าสัมประสิทธการทะลุผ่าน (τ) = พลังงานของเสียงที่ทะลุผ่าน/พลังงานของเสียงที่ตกกระทบ
โดยตามหลักการแล้ว ผลรวมของพลังงานเสียงที่สะท้อน + เสียงที่ถูกดูดซับ + เสียงที่ทะลุออกไป จะต้องเท่ากับพลังงานเสียงที่วิ่งไปกระทบกับผนังในตอนแรก
หากเราสนใจที่เวลาคลื่นเสียงวิ่งมากระทบกับพื้นผิวภายในห้องจะเกิดปรากฏการณ์อะไรบ้าง?
สิ่งเกิดขึ้นเมื่อคลื่นเสียงกระทบกับพื้นผิวห้องคือ เสียงบางส่วนจะกระเด้งสะท้อนกลับ บางส่วนถูกพื้นผิวของผนังดูดซับ และบางส่วนทะลุผนังออกไป
เวลาที่เราเปล่งเสียงอยู่กลางแจ้ง เสียงที่เดินออกไปจะพุ่งออกไปข้างหน้าไม่ได้ย้อนกลับมา นั้นคือพฤติกรรมของเสียงภายนอกอาคารใช่ไหมครับ แต่ในทางกลับกัน หากเราเปล่าเสียงในพื้นที่ปิด เสียงจะวิ่งไปชนผนัง ฝ้าเพดาน หรือพื้น ไปมาภายในห้องนี่คือพฤติกรรมของเสียงที่อยู่ภายในอาคาร ครับ
การลดผลกระทบของ Coincident ทำได้โดยการเพิ่มคุณสมบัติการหน่วง (damping properties) การสั่นสะเทือนของแผ่นผนังให้น้อยลง หมายความว่าเมื่อเกิด coincident effect ผนังจะเกิดการขยับตัวน้อยลงครับ
มีผู้ผลิตหลายเจ้าได้ผลิตวัสดุหน่วงประเภทนี้ขึ้นมา เช่น Green Glue ของบริษัท Trandar ซึ่งมีลักษณะคล้ายกาว โดยการทาให้ทั่วระหว่างแผ่นยิปซั่ม 2 แผ่น ก่อนติดตั้งกับระบบผนัง จะช่วยลดความรุนแรงของ coincident effect และทำให้ค่า TL ที่ช่วงความถี่ 3150 Hz สูงขึ้น
สิ่งที่น่าสังเกต คือ ที่ความที่ 3150 จะเห็นได้ว่าค่า TL ของผนัง ลดลงเป็นอย่างมากเมื่อเทียบกับค่า TL ในช่วงความถี่สูงด้วยกัน
ปรากฏการณ์นี้เกิดจาก เสียงที่ความถี่ 3150 ซึ่งเดินทางไปกระทบผนัง มีความยาวคลื่นไปตรงกับความยาคลื่นของผนังที่สร้างการสั่นสะเทือนในรูปแบบที่ตั้งฉากกับระนาบผนัง (Bending wave in panel) ส่งผลให้ผนังมีการสั่นสะเทือนในรูปแบบตั้งฉากกับระนาบรุนแรง ทำให้ TL ที่ความถี่นี้ ลดลง เราเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า “Coincident effect”
สาเหตุที่ทำให้การติดตั้งฉนวนกันเสียง เช่น ISO-NOISE เข้าไปภายในช่องว่างผนัง สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการป้องกันเสียงแก่ระบบผนังทั้งระบบได้นั้น เพราะว่า เมื่อเสี่ยงวิ่งผ่านแผ่นยิปซั่มแผ่นแรก เข้าไปภายในช่องว่าง เสียงจะเกิดการสะท้อนไปมาภายในช่องว่าง ก่อนจะทะลุแผ่นยิปซั่มแผ่นที่สอง ออกไปยังห้องผู้รับ ซึ่งการคงค้างของพลังงานเสียงภายในช่องว่าง ส่งผลให้ระบบผนังมีประสิทธิภาพในการป้องกันเสียงลดลง การติดตั้ง ISO-NOISE ซึ่งทำหน้าที่ทำลายพลังงานเสียงที่คงค้างภายในช่องว่างของผนัง จะเพิ่มประสิทธิภาพการป้องกันเสียงได้อย่างน้อย 6-8 เดซิเบล
ซึ่ง STC ยังไม่เพียงพอในการป้องกันเสียง การประยุกต์เพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันเสียงให้แก่ระบบผนังเบา คือการติดตั้งฉนวนกันเสียง ที่ถูกออกแบบมาเพื่อใส่ในผนัง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันเสียง
ยกตัวอย่างเช่น การติดตั้งฉนวน ISO-NOISE ความหนา 50 มิลลิเมตรเข้าไป ภายในช่องว่างระหว่างผนัง จะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการป้องกันเสียงจากSTC 33 กลายเป็น STC 38 โดยไม่ต้องเพิ่มความหนาของผนัง และเพิ่มน้ำหนักผนังซึ่งเป็นภาระของโครงสร้างแต่อย่างใด
โดยหลักการสุดท้ายว่าด้วยเรื่องของ ผนังที่มีหลายชั้น และประกอบด้วยวัสดุหลายชนิด ยิ่งทำให้ค่า TL สูงขึ้น ถูกนำมาประยุกต์ใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในระบบผนังเบา
เนื่องจากในสภาพการก่อสร้างจริง ผนังที่มีน้ำหนักมากจะเป็นภาระแก่โครงสร้างอาคาร อีกทั้งผนังที่มีน้ำหนักมากจำเป็นต้องก่อตามแนวคาน ซึ่งทำให้เกิดข้อจำกัด ในการจัดสรรพื้นที่ภายในอาคาร โดยทั่วไประบบผนังเบาเช่น ระบบผนังยิปซั่ม ความหนาแผ่น 10 มิลลิเมตร ติดตั้งกับโครงรูปตัวซี หนา 64 มิลลิเมตร จะมีค่า STC อยู่ที่ 33
จะเห็นว่าค่า STC เพิ่มขึ้นเป็น 74 โดยที่น้ำหนักต่อพื้นที่ผิวของผนังเท่ากับผนังก่ออิฐหนา 200 มิลลิเมตร นี่จึงเป็นสาเหตุว่าทำไม ผนังที่มีหลายชั้นและเป็นวัสดุต่างชนิดกันจึงเพิ่มประสิทธิภาพการป้องกันเสียงได้ดีขึ้น
แต่ถ้าหากเราแยกผนังก่ออิฐหนา 10 เซนติเมตร ออกเป็น 2 ชั้น โดยมีช่องว่างตรงกลาง ขนาด 50 มิลลิเมตร คิดว่าค่า STC จะเป็นเท่าไหร่ครับ
พิจารณาระบบผนังก่ออิฐหนา 100 มิลลิเมตรดูครับ เรารู้แล้วว่าตามกฎของมวล ผนังหนาเพิ่มขึ้น 2 เท่า (น้ำหนักต่อพื้นที่ผิวเพิ่มขึ้น 2 เท่า)
ทำให้ค่าการกันเสียงเพิ่มขึ้น 5-6 เดซิเบล
ประการสุดท้ายคือ ผนังที่มีหลายชั้น และประกอบด้วยวัสดุหลายชนิด ยิ่งทำให้ค่า TL สูงขึ้น
ประการที่ 2 ยิ่งผนังมีน้ำหนักต่อพื้นที่ผิวมากขึ้น ยิ่งกันเสียงได้ดียิ่งขึ้น
ยกตัวอย่างแผ่นไม้ที่มีความหนาแตกต่างกัน จะเห็นได้ว่า ค่า STC จะสูงขึ้นตามไปด้วย
โดยตามทฤษฏีกฎของมวล (Mass Law Theory) ยิ่งน้ำหนักต่อพื้นที่ผิวเพิ่มขึ้น 2 เท่า จะทำให้ค่า TLเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 5-6 dB
หัวข้อแรก ผนังที่มีรอยรั่ว จะทำให้ค่า TL ลดต่ำลงอย่างน่าใจหาย !!!
ในทางทฤษฏี เราสามารถคำนวณค่า TL เฉลี่ย ของระบบผนังที่ประกอบด้วยพื้นผิวหลายชนิดได้จากสมการนี้ครับ
ไหนๆ หัวข้อนี้ ดูจะเป็นวิชาการไปแล้ว งั้นผมขอพูดเรื่องปัจจัยของระบบผนัง ที่ส่งผลต่อค่า TL ไปเลยแล้วกันนะครับ
ปัจจัยที่ทำให้ค่า TL สูงนั้น มี 3 ปัจจัยหลักๆ ครับ
1.ผนังทึบไม่มีรอยรั่ว เสียงเหมือนน้ำครับ ถ้าเจอตรงไหนรั่วจะไหลลอดตรงนั้นเยอะครับ
2.ยิ่งน้ำหนักต่อพื้นที่ผิวมากยิ่งกันเสียงได้มาก หมายความว่าผนังยิ่งหนักยิ่งกันเสียงดีครับ
3.ยิ่งระบบผนังประกอบด้วยระบบหลายชั้น และใช้วัสดุหลายๆ ชนิด ในระบบผนัง เวลาพลังงานเสียงวิ่งทะลุผ่าน พลังงานเสียงจะถูกทำลาย
ได้ง่ายส่งผลให้กันเสียงได้ดีขึ้น ลองมาดูแต่ละหัวข้อกันครับ
ผนังของห้องแบบต่างๆ ควรมีค่า STC เท่าไหร่บ้าง??
เพื่อให้ง่ายต่อการเลือกระบบ จึงขอแนะนำค่า STC ที่เหมาะสมต่อการใช้งานห้องต่างดังต่อไปนี้
สิ่งที่น่าสนใจก็คือ ค่าสัมประสิทธิ์ การทะลุผ่านของเสียงนั้นสามารถนำมาคำนวณเป็นค่าประสิทธิภาพในการทะลุผ่านของผนัง หรือ
ค่า Sound Transmission Loss (TL) ได้ครับ
ค่าSound Transmission Loss (TL) ในความเป็นจริงหาได้จากการทดสอบในห้องปฏิบัติการ โดยห้องทดสอบจะมีลักษณะเป็นห้องทึบ 2 ห้อง ที่อยู่ติดกัน ผนังภายในห้องสร้างคอนกรีตหนาอย่างน้อย 40 เซนติเมตร เพื่อให้ผนังสามารถป้องกันเสียงทะลุผ่านออกไปข้างนอกได้
โดยห้องที่เป็นแหล่งกำเนิดเสียง (Source Room) จะถูกวางลำโพงไปเปิดเสียงสัญญาณที่ความดังสูงเข้าไปในห้อง ซึ่งเราจะติดตั้งระบบผนังที่ต้องการทดสอบค่าประสิทธิภาพในการป้องกันเสียงกั้นระหว่างห้องทั้ง 2
หลังจากนั้นก็ทำการวัดระดับความดังของห้องผู้รับ (Receiving Room) ผลต่างระดับเสียงระหว่างห้องแหล่งกำเนิด และห้องผู้รับ คือค่าประสิทธิภาพในการป้องกันเสียงของระบบผนังที่ทำการทดสอบ
τ + ρ + α = 1.0